เซินเจิ้น จีน, 7 มิถุนายน 2567 /พีอาร์นิวส์ไวร์/ -- หัวเว่ย (Huawei) ได้เปิดฉากการประชุม HiFS Frontier Forum ประจำปี 2567 ที่เมืองเซินเจิ้น การประชุมนี้มีขึ้นในหัวข้อ "Boost Resilience, Reshaping Smarter Finance Together" (มุ่งส่งเสริมความยืดหยุ่น ร่วมกำหนดทิศทางแวดวงการเงินให้ชาญฉลาดกว่าเดิม) โดยได้นำสถาบันการเงินและพันธมิตรของหัวเว่ยจากทั่วโลกมารวมตัวกัน เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางในการปรับเปลี่ยนความยืดหยุ่น ความคล่องตัว และความชาญฉลาด โดยอาศัยนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและความร่วมมือในอีโคซิสเต็มเมื่อต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในอนาคต และเร่งพลิกโฉมอุตสาหกรรมการเงินสู่ยุคดิจิทัลอย่างชาญฉลาด
1 สร้างโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ เพื่อเร่งความชาญฉลาดในภาคการเงิน
Leo Chen รองประธานอาวุโส ประธานฝ่ายขายลูกค้าภาคธุรกิจองค์กรของหัวเว่ย ได้กล่าวเปิดการประชุมว่า "เพื่อพลิกโฉมอุตสาหกรรมการเงินสู่ยุคดิจิทัลอย่างชาญฉลาดและมั่นคง หัวเว่ยเชื่อในเสาหลัก 3 ประการ ได้แก่ การสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่น การสร้างโครงสร้างพื้นฐานมัลติคลาวด์แบบไฮบริดเพื่อเพิ่มความสามารถในการขยายระบบและความคล่องตัวทางธุรกิจ และการพัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลแบบหลอมรวม โดยใช้ประโยชน์จากระบบคลาวด์ การสตรีมข้อมูล และการวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ เพื่อเพิ่มมูลค่าข้อมูลให้ถึงขีดสุด"
2 มุ่งส่งเสริมความยืดหยุ่น ร่วมกำหนดทิศทางแวดวงการเงินให้ชาญฉลาดกว่าเดิม
Jason Cao รองประธานของหัวเว่ย และซีอีโอหน่วยธุรกิจการเงินดิจิทัลของหัวเว่ย ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในการประชุมนี้ และชี้ให้เห็นว่าในโลกอัจฉริยะนั้น เทคโนโลยีและอุตสาหกรรมต่าง ๆ กำลังพัฒนาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และสถาบันการเงินจะต้องปรับเปลี่ยนความยืดหยุ่น ความคล่องตัว และความชาญฉลาดเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในเศรษฐกิจดิจิทัล คุณ Cao กล่าวว่า "หัวเว่ยมุ่งบรรลุเป้าหมาย Zero Downtime, Zero Wait, Zero Touch และ Zero Trust โดยได้ยกระดับโซลูชันส่งเสริมความยืดหยุ่นในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อช่วยให้สถาบันการเงินปรับปรุงความยืดหยุ่นได้ พร้อมอัปเกรดขีดความสามารถหลัก 4 ประการ รวมถึง CCE สมรรถนะสูง และฐานข้อมูลแบบกระจายอย่าง GaussDB เพื่อช่วยให้สถาบันการเงินต่าง ๆ เร่งปรับปรุงรูปแบบการใช้งานให้ทันสมัย และปรับโฉมความคล่องตัวตามสถาปัตยกรรมคลาวด์แบบไฮบริด ทั้งยังได้ยกระดับระบบข้อมูลในแง่ของสถาปัตยกรรม การกำกับดูแล และสถานการณ์ทางธุรกิจ เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของระบบ ผู้ใช้ และธุรกิจ ปลดล็อคมูลค่าของข้อมูลและ AI เชิงรู้สร้าง และ ช่วยให้ลูกค้าก้าวไปสู่การเป็น AI Bank"
Kunte Chen ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพลิกโฉมทางดิจิทัลประจำหน่วยธุรกิจการเงินดิจิทัลของหัวเว่ย ได้ให้ข้อเสนอแนะสำหรับธนาคารในยุคคลาวด์และ AI เอาไว้ว่า "เมื่อเทคโนโลยีคลาวด์และ AI พัฒนาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ประกอบกับการถือกำเนิดของคู่แข่งรายใหม่ ๆ เช่น ธนาคารดิจิทัลและบริษัทฟินเทค ธนาคารแบบดั้งเดิมจะต้องเร่งปรับตัวให้เข้ากับภูมิทัศน์ใหม่นี้ให้ได้ ซึ่งนอกจากจะต้องคอยดูแลเรื่องเสถียรภาพและความน่าเชื่อถือของการดำเนินงานเดิมแล้ว ก็ควรให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล เพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนให้เหมาะสม และควรนำข้อมูลไปใช้ขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจและสร้างสรรค์คุณค่าให้กับลูกค้า"
Joy Huang รองประธานธุรกิจประมวลผลคลาวด์ของหัวเว่ย และประธานแผนกพัฒนากลยุทธ์และอุตสาหกรรมการประมวลผลคลาวด์ของหัวเว่ย กล่าวว่า "หัวเว่ย คลาวด์ (HUAWEI CLOUD) สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง และนำเทคโนโลยีล้ำสมัย 9 รายการมาใช้สร้างคลาวด์ทางการเงินระดับโลก เพื่อมอบโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่ยืดหยุ่นและน่าเชื่อถือเทียบได้กับเมนเฟรมให้กับลูกค้าในภาคการเงิน ทั้งยังมาพร้อมขีดความสามารถในการจัดการแบบมัลติคลาวด์ รวมถึง DR บนคลาวด์และการสำรองข้อมูล ช่วยให้ลูกค้าภาครัฐและเอกชนสร้างกลุ่มคลาวด์ได้ โดยใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีระดับแถวหน้าของอุตสาหกรรม เช่น ฐานข้อมูล บิ๊กดาต้า คลังข้อมูล และ AI เพื่อนำข้อมูลและเทคโนโลยีอัจฉริยะมาบรรจบกัน ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ หัวเว่ยเพียบพร้อมไปด้วยความสามารถในการให้บริการย้ายข้อมูล เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ในภาคการเงินโยกย้ายและใช้ระบบคลาวด์ได้ ซึ่งจะเข้ามาเร่งการใช้งานในภาคการเงินให้ทันสมัยยิ่งขึ้น"
3 ผนึกกำลังพันธมิตรทั่วโลกเพื่อสร้างคุณประโยชน์ใหม่ ๆ
ในการประชุมนี้ หัวเว่ยยังได้เปิดตัวโครงการ FPGGP (Financial Partner Go Global Program) Acceleration Program ด้วย ซึ่งคุณ Jason Cao เปิดเผยว่า หัวเว่ยมีความมุ่งมั่นในการสร้างระบบนิเวศระดับโลกเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมการเงินดิจิทัล ครอบคลุมทั้งพันธมิตรระดับแถวหน้าของโลก ผู้ที่มีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมท้องถิ่น และผู้คิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ รองรับสถานการณ์เฉพาะกลุ่ม
นับจนถึงปัจจุบัน หัวเว่ยได้เข้ามาให้บริการลูกค้าในภาคการเงินมาแล้วกว่า 3,600 รายในกว่า 60 ประเทศและภูมิภาค ในจำนวนนี้เป็นธนาคารชั้นนำระดับท็อป 100 ของโลกถึง 53 แห่ง
แสดงความคิดเห็น